วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550

หวานซึ้งกินใจ


ไม่อยากให้ใครมาทุ่มเท กับคนเกเรอย่างฉัน ที่ปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวัน++วัน เพราะไม่อยากให้ความสำคัญกับอะไร ก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ที่ไม่อาจมีค่าคู่ควรเธอได้ อย่าเลยขอเธออย่าให้ใจ เพราะเธอดูมีค่าเกินใครๆ ที่ฉันไม่คู่ควร จริง++จริง ความรักเป็นความรู้สึกที่บางครั้งก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของความคิดเราจึงสามารถรู้สึกได้รักได้โดยใช้หัวใจรักแต่ขณะเดียวกันการแสดงออกและการกระทำต่างๆนั้นกลับต้องใช้หัวใจและสมองไปพร้อมๆกัน หัวใจ..จะคอยบอกว่าเรารักได้ สมอง..จะบอกว่ารักแล้วจะสามารถแสดงออกได้แค่ไหน มีบางครั้ง..ที่ชีวิตเราเกิดรู้สึกประทับใจใครซักคน ในเวลาที่เราไม่อาจทำอะไรได้ แม้มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย...เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะพบใครคนหนึ่งที่สามารถตอบตัวเองได้ว่าเป็นคนที่เราตามหามาตลอด และมันก็ยากพอๆ กับการ..มีเธอไว้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ถ้าเธอคือคนเดิม และเพิ่มเติมมันทุกวัน ก่อนที่จะรักคุณพร้อมที่จะอกหักหรือยังก่อนที่จะรักคุณพร้อมที่จะเลิกเจ้าชู้ได้หรือยังก่อนที่จะรักคุณรักหรือคุณหลงถามตัวเองก่อนเมื่อได้รักคุณปฏิบัติเหมือนก่อนที่จะได้รักหรือเปล่าเมื่อได้รักคุณอย่าเอารักไปรวมกับเซ็กซ์นะเพราะมันคนละเรื่องกันเมื่อได้รักคุณรักหรือคุณผูกผันกันแน่เพราะบางคนรักไปแล้วแต่ไม่กล้าบอกเลิกเพราะความผูกพันนี้แหละเมื่อไร้รักคุณจะกลับมาอยู่คนเดียวเหมือนเดิมได้เปล่าเมื่อไร้รักคุณพร้อมที่จะเปิดใจให้กลับคนอื่นรึเปล่าความรักไม่มีนิยามตายตัวไม่มีความหมายที่แน่นอนไม่มีความรู้สึกที่แน่วแน่ไม่มีใครรักได้เหมือนกันไม่มีการสอบไม่มีการลอกไม่มีแบบฝึกหัดไม่เข้าใครออกใครไม่มีให้ในพรสวรรค์และไม่มีเข้าใจอย่าแท้จริงว่า “รัก”คืออะไร

โดน ๆ ๆ ใจ อิอิ

ถ้าเราเกิดมาเพื่อที่จะรักใครสักคนคนๆ นั้นจะรักเราตอบแต่ถ้าเราเกิดมา. . .เพื่อที่จะรักใครหลายๆ คนเชื่อเถอะว่า. . .จะไม่มีใครรักเราจริงแม้แต่คนเดียวบางครั้งความรัก อาจเดินผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพียงครั้งเดียวและไม่หวนกลับมาอีกเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า. . .ความรักครั้งนี้หรือครั้งไหน จะเป็นความรักครั้งสุดท้ายมีหลายคนที่เราตามหา. . .แต่ความรักก็กลับหนีไปมีหลายครั้งที่เราไม่สนใจ. . .แต่ความรักกลับเดินเข้ามาอย่า...อย่ามองข้ามใครคนหนึ่งไปเพียงเพราะหาเหตุผลที่จะรักไม่ได้อย่า...ถามหาเหตุผลเมื่อจะรักใครแต่ให้ถามสัมผัสจากหัวใจว่า. . .รู้สึกอย่างไรอย่า...มองหาความรักด้วยสายตาแต่ให้มองหาความรักด้วยใจอย่า...เชื่อคำว่ารักที่ได้ยินจากสองหูทั้งสองแต่ให้เชื่อคำว่ารักที่ดังก้องมาจากความรู้สึกและส่วนลึกของหัวใจ. . .ความรักเป็นสิ่งที่มีค่าแต่มันจะไร้ ค่าถ้าไม่มอบให้ใครหากวันนึงเราพบใครสักคนที่มองเห็นคุณค่าความรักของเราแล้วล่ะก้อมอบความรักให้เค้าไปเถอะแล้วเราจะรู้ว่า. . .ความรักนั้นมีค่าและมีความหมายเพียงใด

คติสอนใจ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า.. จิตของคนเรานั้น เหมือนกับลิง เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า “ความเกลียดกะปิ” ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก สิ่งที่เราเกลียดนั้น บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูกก็คือความรู้สึกอยากผลักไส ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น นอกจากความอยากผลักไสแล้ว ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน กลับมาที่ลิงจอมซนอีกทีในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อวันดีคืนดี ลิงมาที่สวน เห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้ เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว สุดท้ายก็ถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น มันก็เอาตัวรอดได้ แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันอยากได้ จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น เวลาประสบปัญหา เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียวความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่ง ทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย ดั่งเจ้าลิงหวงถั่ว.

ประโยชน์ของผักและผลไม้


........-หน่อไม้ - หน่อไม้สด ควรกินคู่กับใบหญ้านาง (เป็นการล้างพิษของหน่อไม้ออก) ช่วยขยายหลอดเลือด- หน่อไม้ดอง บำรุงไต ล้างยา ล้างพิษ - หัวไช้เท้า ล้างยา ล้างพิษ ฉะนั้นคนป่วยกินยาไม่ควรกิน- ใบโหระพาและสับปะรด ปั่นน้ำ ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด (ใบโหระพาเป็นยาอายุวัฒนะ)- เหงือกปลาหมอ กับพริกไทย กับน้ำผึ้ง เป็นยาอายุวัฒนะ- ใบกระเพรา ต้นน้ำดื่ม ช่วยขับลม อาจเติมกูลโครสให้เด็กอยากดื่มก็ได้- ใบเตย กับ ใบมะนาว ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด- ใบเตย กับ แก่นขนุน ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด- ผักชี กับสับปะรด ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด- ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ - ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ดเลือด ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก- เนื้อลูกยอ กินหน้าหนาว เช่นส้มตำลูกยอดิบ ล้างพิษได้ กินฤดูอื่น ช่วยขับพยาธิ ควรได้กินปีละครั้ง- ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้- ขี้เหล็ก ช่วยขับถ่ายดี เพิ่มเม็ดเลือด นอนหลับดี ไม่ควรกินสด เพราะมีสารพิษ- สะเดา ถ้ากินน้อย กินสดไม่เป็นไร ถ้ากินมาก ควรทำให้สุกก่อน - สะเดาสด ลวก ช่วยระบบท้องดี เพิ่มน้ำย่อย ลดไข้ ล้างไขมัน อย่าทานทุกวัน จะปวดเมื่อยตัว- โรคเก๊าท์ รักษาโดยการกินลูกเดือยแทนข้าว 80 % ของอาหาร 3 มื้อใน 7 วันจะหายได้- เห็ดหูหนูดำ เม็ดบัว งาดำ กินบำรุงไต- เห็ดหูหนูขาว บำรุงปอด- เห็ดมีโปรตีนที่ดูดซึมได้ดีกว่าเนื้อสัตว์ ถั่ว มีกรดอมิโน สลายสารและต้านอนุมูลอิสระ- ขนุน บำรุงหัวใจ- กลอย เป็นอาหารแป้ง ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง เหมือน มันเทศ บุก กรอบภูเขา ฮ่วยซัว- มันเทศ กินแก้อ่อนเพลีย แก้ม้ามชื้น ซึ่งทำให้อ้วนง่าย กินแล้วผอม - มันสำปะหลัง กินแล้วอ้วน กินตอน 9.00 น เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย - ใบมะยม กินสดหรือต้มน้ำ (ต้มทั้งก้าน) แก้เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ลดปวดหัว บำรุงตับอ่อน ช่วยปรับระดับน้ำตาลในสมดุล ช่วยระบาย บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย ทำให้เจริญอาหาร ช่วยย่อย หรือใช้สูตรต้มกับหมูสับหรือเต้าหู้กินบำรุงกำลังดี กากใยของใบมะยมยังช่วยขับไขมันได้ดีด้วย จึงควรปลูกมะยมไว้ประจำบ้าน ปลูกในกระถางก็ได้ การหักให้หักทั้งกิ่งที่ยอดเพื่อให้มันแตกกิ่งเพิ่ม- รากเตย ต้มน้ำ ดื่มแก้เบาหวาน ดีกับตับอ่อน- ใบขลู่ (ไม่แน่ใจว่าสะกดคำถูงต้องหรือไม่) ช่วยลดไขมันในเลือดได้ดี โดยเอาใบขลู่ต้มกับกระเจี๊ยบ-พุทราจีน หรือนำมาผัดหมู่สับ ใส่ขึ้นฉ่าย และเกี้ยมบ๊วย แก้ริดสีดวงทวาร ลดเบาหวาน - ใบขลู่ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ดเลือด หรือตากแห้ง นำมาชงดื่มแบบชาก็ดี- ใบเตยดีกับหัวใจ- หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น - กระชาย จักรพรรดิแห่งสมุนไพร (โสมไทย) ดีกว่าโสมเพราะไม่มีสารที่เป็นพิษ มี 3 สีคือ กระชายเหลือง มีโอสถสารสูงสุด หาง่าย กระชายแดง หายาก กระชายดำ ประโยชน์ แก้ความดันสูง เลือดเป็นลิ่ม ฟื้นฟูตับ ต่อมไร้ท่อ ไต หัวใจ เพศ ทำให้ผมดำ เพิ่ม ฮอร์โมนเอสโตรเจน แคลเซียม เพิ่มสเปิร์ม แก้กระดูกเสื่อม บำรุงสมอง แก้ปวดข้อ ปวดกระดูก ปวดแข้ง ปวดขา ขับลม ให้กำลัง ทำให้ไข่พยาธิฝ่อ กินพร้อมเปลือก กินได้ทั้งต้น ไม่มีพิษ วิธีทำ ใช้กระชาย ½ กิโล คั้นน้ำ 2 ลิตร แยกกาก เก็บในตู้เย็นไว้ดื่ม ตำก็ได้ ผสมน้ำผลไม้ก็ได้ กากไม่ควรกิน เพราะจะดูดโอสถสารกลับ กากใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้ ใช้เลี้ยงกุ้ง โตเร็ว ไม่ขี้โรค ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ ปลอดภัย ล้างผัก ผลไม้ดีที่สุด ไม่มีสารตกค้างที่ร่างกายไม่ต้องการ การคั้นน้ำได้โอสถสารมากที่สุด การต้มจะเหลือแค่การขับลม การดองเหล้าก็ได้ กินแล้ว คึกทางเพศ กระชาย ที่ใส่ฟอร์มารีนให้แช่ด้วยน้ำเกลือ ล้างออกได้- น้ำใบบัวบก บำรุงสมอง- เม็ดบัว ต้มให้เปื่อย ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยฟื้นไข้ ฟื้นกำลัง เพิ่มสเปิร์ม เพิ่มโอกาสตั้งครรห์- แปะก๊วย กับใบบัวบก กับใบพู่ระหง บำรุงผม- แปะก๊วยมีประโยชน์เหมือนลูกบัว แต่น้อยกว่า และแพงกว่า- ถั่ว 5 สี (กะยาคู) เป็นยาอายุวัฒนะ ถั่วขาว บำรุงปอด ถั่วแดง บำรุงหัวใจ ถั่วดำ บำรุงไต ถั่วเหลือง บำรุงม้าม ถั่วเขียว บำรุงตับ ใส่เพิ่มลูกเดือย มันเทศก็ได้- ขมิ้นชัน มีวิตามิน เอ ซี อี บี รวม เบต้าแครอทีน สังกะสี สารสีเหลือง Curcumin ที่ไม่มีในอย่างอื่น ช่วยล้างไขมันในตับ แต่ไม่ล้างพิษ ป้องกันมะเร็ง กินก่อนนอน กินมากไม่มีผลเสีย ช่วยให้ผิวสวย ต้านหวัด ขจัดเซลล์ร้าย เซลล์มะเร็ง (การทำคีโมขจัดเซลล์ทุกอย่าง) ต้านอนุมูลอิสระ แบบผงละลายน้ำดื่มแก้ท้องผูก เปลือกขมิ้นชันกินไม่ได้ มีพิษ กินขมิ้นชันตอนตี 3 บำรุงปอด ผิว ตี 5 บำรุงลำไส้ใหญ่ ฟื้นปลายประสาท ไม่เป็นริดสีดวง 7 น บำรุงกระเพาะ ทำให้เนื้อแน่น 9 น แก้น้ำเหลืองเสีย เก๊า เบาหวาน ลดความอ้วน 11 น เป็นต้นไป บำรุงตับ ผิว ถ้าทานแล้วท้องเสีย ร่างการกำลังขับพิษ ให้หยุดแล้วเริ่มทานแต่น้อย กิน 10 – 20 แคปซูล ตอนเช้าแก้ท้องผูกได้- น้ำมะพร้าวอ่อน ช่วยเพิ่มฮอร์โมน เอสโตรเจน สำหรับเพศหญิง บำรุงผม เนื้อมะพร้าว ถ้าอ่อนเป็นวุ้น มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ถ้าเนื้อขาวแข็งมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโลน- กะทิ สด ละลายในน้ำได้ดี (ไม่เหมือนไขมัน) ช่วยล้างหลอดเลือด ขับพญาธิ ฆ่าฤทธิ์ ช่วยระบาย- ลูกไข่เน่า ผลไม้สีดำ คล้ายพุทรา เม็ดลีบ กลืนได้ ช่วยระบบขับถ่าย กินแล้วหัวดี กินสดหรือดองน้ำเกลือ บำรุงไต กระดูก แก้กระดูกผุ บำรุงระบบเพศ สมอง ต่อมไร้ท่อ เหมือนกระชาย มีแคลเซียมสูง- ใบหญ้าหวาน (สเตอเวีย) เป็นน้ำตาลธรรมชาติที่มีประโยชน์ มีความหวานเป็น 40 เท่า ต้นน้ำดื่ม บำรุงตับอ่อน ธาตุ แก้ เบาหวาน เพิ่มกำลังวังชา สมานแผลทั้งภายในและภายนอก กินใหม่ๆน้ำตาลจะเพิ่ม แต่ไม่อ่อนเพลีย กินต่อไปน้ำตาลในเลือดจะลด ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมอง - น้ำหญ้าหวาน (บำรุงม้าม ธาตุ) ต้มกับเห็ดหูหนูดำ (บำรุงไต) กับน้ำตาลกรวด (บำรุงปอด) ดื่มเพิ่มพลัง แก้อ่อนเพลีย แต่ดื่มแล้วเย็นใน - เปลือกมังคุด ต้มน้ำกินช่วยสมานแผล- ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด- ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือก เอาเมือกเหลืองๆออก เอาวุ้นใสๆทาแก้แพ้ ผื่นแดงที่เกิดจากน้ำไม่สะอาด- ลูกเดือย บำรุงเส้นเอ็น บำรุงกระดูก แก้กระดูกแตก- ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ- ลูกมะหวด มีวิตามินเอ ซี อีสูง และ ฮอร์โมนเอสโตรเจน มาก ต้านอนุมูลอิสระ ฟอกเลือด ใบใช้บ่มมะม่วงให้สุก- ฟ้าทะลายโจร เป็นยาเย็น เหมือนมะระ ถ้ากลัวเย็นไปให้กินตามด้วยน้ำขิง- เอาน้ำขิงชงชาก็ดื่มดี การชงชาไม่ควรทิ้งชาแช่ในน้ำนานเกิน 5 นาที เพราะสารแทนนิน จะออกทำให้ท้องผูกและนอนไม่หลับ- กกเตย ช่วยฟื้นฟูตับอ่อน- แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น - ฟักข้าว ช่วยขับพยาธิ บำรุงธาตุ ขับไรฝุ่น เอาเปลือกออกกินทั้งเนื้อทั้งเม็ด ต้มยำปลากระป๋อง- เนยใส (เนยกี) ใช้หยอดหู แก้อาการน้ำในหูไม่สมดุลหรือหยอดจมูก แก้อาการคัดจมูก- น้ำปัสสาวะ เป็นน้ำที่ได้จากการกลั่นเอาอาหารที่กินเข้าไป เหลือแยกออกมา ฉะนั้นโดยความเป็นจริง แล้วน้ำปัสสาวะสะอาด (ไม่เหมือนอุจระที่จะสกปรก) และมีสารอาหาร เกลือแร่ เลือด ที่เหลือ จากการดูดซึมเข้าร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาร อินเตอร์เฟอรอล ที่สามารถล้างพิษได้ น้ำ ปัสสาวะสามารถใช้ดื่มเพื่อล้างระบบต่างๆในร่างกายที่มีปัญหา เพียงแต่รองใส่ภาชนะเวลาถ่าย แล้วดื่มได้เลย - กุยฉ่าย ช่วยลดความดัน ฟอกเลือด- กระเจี๊ยบแดงต้มกับพุทราจีน ช่วยหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ลดไตกีเซอไรย์ ปรับเส้นเลือดให้ยึดหยุ่น แข็ง แรง ขยาย-ล้างหลอดเลือด แก้เส้นเลือดปูด ตีบ ขอด ในหัวใจโต ริดสีดวงทวาร ขยายเส้นเลือดในไต ไตแข็งแรงขึ้น ป้องกันเลือดกำเดาไหล กระเจี๊ยบแดงกินเดี่ยวทำให้ไตเสื่อม โลหิตจาง- กระเจี๊ยบเขียว ต้มกิน ช่วยแก้ท้องผูกสำหรับผู้ป่วยที่นอนนาน - กระเจี๊ยบเขียว กินแก้พยาธิตัวจี๊ด- ลูกสำลอง กับหญ้าหวาน กับดอกคำฝอย กับเก๊กฮวย ช่วยลดโคเลสเตอรอลดี ลูกสำลองมีประโยชน์เหมือนรังนก บำรุงปอด รังนกแท้หายาก ของปลอมทำจากรากไม้ลูกหูกวางกินแล้วแล้วขาไม่มีแรง- องุ่นสีม่วง ช่วยฟอกเลือด บำรุงหัวใจ มีโปรแตสเซี่ยมสูง (กินมากไม่ดีต่อตับ) กินสดจะได้วิตามิน เอ ซี อี สูง ถ้ากวน จะมีวิตามินน้อยลง แต่ได้เอสโตรเจนเพิ่ม- ลูกเกดแห้ง บำรุงถุงนำดี ตับ ไต -- ดอกคำฝอย ถ้ากินเดี่ยวๆ จะลดโคเลสเตอรอลได้มาก อาจทำให้ซึมได้- เก๊กฮวย กินแล้วทำให้สดชื่น- ดอกคำฝอย กับเก๊กฮวย ช่วยจับโคเลสเตอรอล แล้วลูกสำลองจะช่วยขับออก- สาหร่ายทะเล ช่วยฟอกเลือด ปรับสมดุล ลดอาการบวม นำมาอบหรือคั่ว จิ้มซีอิ้วกินอร่อย- จับฉ่าย ควรใส่หัวใช้เท้า ช่วยล้างพิษ สารตกค้าง- กล้วยน้ำว้า ช่วยปรับสมดุลระหว่างช่วงความแตกต่างของอาหาร เช่น อาหารไทย – เทศอาหารเจ – คาว ช่วงอด – ไม่อด กินก่อนการเปลี่ยนอาหาร - น้ำเต้าก็ใช้แทนกล้วยน้ำว้าได้ - พริกปาปริกา ช่วยการไหลเวียนของเลือด - ดอกแค ดอกกาสะลอง (ดอกปีบ)ช่วยบำรุงปอด ตากแห้ง ชงน้ำดื่ม - บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก ต้นน้ำดื่มช่วยล้างระบบดูดซึมได้ ทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าดี - มะขามเทศมีโซเดียมและแคลเซียมสูง เปลือกใช้ทำยาย้อมผม และยาสระผม- มะเขือเทศ บำรุงเลือด หัวใจ แก้โรคซึมเศร้า คนที่หัวใจโต ไตไม่ดีไม่ควรกิน- อินทผารัม บำรุงไต ระบบเพศ- ดอกชุมเห็ด ทำให้ถ่ายอย่างแรง เพราะมีพิษ ควรลวกแล้วราดด้วยกะทิล้างพิษ ไม่ควรกินเกิน 3 ดอก- เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป- น้ำตาลกรวดย่อยง่ายกว่า ดูดซึมดีกว่า น้ำตาลทราย- ลำไยสด บำรุงกำลัง หัวใจ เปลือกมีสารทำให้ร้อนใน แก้โดยให้แช่น้ำเกลือก่อนแกะ หรือดื่มน้ำเกลือตาม เม็ดลำไยตากแห้งบด นำมาโรยแผลช่วยให้น้ำเหลืองแห้ง- ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ- ขิง หอม กระเทียม น้ำผึ้งมะนาว กินแก้หอบหืด ลดไขมัน - น้ำฟักทอง บำรุงไต- ของดอง ผักดอง หนำเลี้ยบ หน่อไม้ดอง บำรุงไต- หมึกในปลาหมึก ช่วยแก้ร้อนใน ปากเป็นแผล บำรุงไต ล้างระบบดูดซึม ลดโคเลสเตอรอลในปลาหมึก- กุหลาบ บำรุงหัวใจ ทำให้หายใจโล่ง รู้สึกกระปี้กระเปล่า (สีแดงในพริกด้วย)- มะละกินคู่กับ ผักดอง- ขึ้นฉ่ายคู่กับ เกี้ยมบ๊วย- ฝัก คู่กับมะนาวดอง- เม็ดแมงลัก เป็นตัวเก็บไขมันไปทิ้ง แต่กินตอนเย็นจะย่อยยาก ทำให้ท้องอืด- ดอกอันชัน- ทานสดได้ บีบมะนาวจะเป็นสีชมพู บำรุงไต ช่วยย่อย ทำให้น้ำเหลืองแห้ง- ยอดมะลุม มีเบต้า แครอลทีน ทำให้ผิวดี แก้ตกกระ มีสารเพ็กติน นิ่มๆ ฆ่าพยาธิได้ มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ใบต้านเบาหวาน ทำให้ขับถ่ายดี ป้องกันไมเกรน- กระท่อม ใช้แก้ท้องเสีย (เป็นสารเสพติด) ทำให้ทนแดด ทนฝน ทนงานหนัก แต่กลัวฝนจนตัวสั่น ไข่- ควรกินไข่สุก หรือสุกขนาดเป็นมะตูมก็ได้ ไข่ดิบย่อยยาก ดูดซึมยาก - ไข่แดงเป็นโคเลสเตอรอลดี ช่วยในการดูดซึมของสารอาหารต่างๆ - ไข่เยี่ยวม้า มีสารอาหารน้อยลง แต่มีโซเดียม ฟอสเฟตสูง ช่วยบำรุงไต - ไข่เค็ม ยังมีสารอาหารครบ- ใบสัปปะรดสับ ต้มน้ำดื่ม ช่วยขับปัสสาวะ -->

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550

นิทานสำหรับคนรักกัน

นิทานสำหรับคนรักกัน
............วันหนึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งพึ่งรักกันทั้งคู่รักกันมาก ผู้ชายให้สัญญากับผู้หญิงว่า ผมจะรักคุณตลอดไป ผู้หญิงจึงบอกกลับว่า ฉันเชื่อคุณ และจะรักคุนอย่างที่รักฉัน ให้ดีที่สุด ทั้ง 2 คบกันไปชั่วในระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างที่ 2 คนได้เดินจับมือ กันอยู่ในสวนสาธารณะนั้น ได้มี นางฟ้าคนหนึ่ง ปรากฏกายลงมา พร้อมกับบอกว่า "ท่านทั้ง 2 มีความรัก บริสุทธิ์ต่อกัน เราอยากจะให้ท่าน ได้เห็นอนาคตของท่านทั้ง 2" ชาย หญิงคู่นั้น จับมือกันไว้แน่นและรุสึกดีใจที่ความรักของเค้าและเธอ ถึงขนาดนางฟ้ามาให้พร นางฟ้าจึงพูดขึ้นว่า "ท่านจะดูอนาคตของท่านทั้ง 2 นับตั้งแต่นี้หรือไม่”ชายและหญิงคู่รักมองตากัน แล้วตอบพร้อมกันว่า "เราทั้ง 2 ไม่กลัวอนาคตเรามั่นใจในกันและกัน" นางฟ้าได้ยินดังนั้น จึง เสก ของออกมาเป็นซีดี 2 แผ่นให้ทั้งคู่ไปดูอนาคต....................... ที่บ้านของหญิงสาว หญิงสาวค่อยๆควักแผ่นซีดีที่ได้จากนางฟ้า ใส่ลงในเครื่องเล่นซีดี ในภาพ เห็น ในภาพแรกเธอและแฟนของเธอแต่งงานกัน เธอยิ้มแก้มปริมีความสุขอย่าง บอกไม่ถูก ในภาพหลังๆ หญิงสาวได้เห็นว่า มีรูปของแฟนเธอคบชู้ เธอนั่งร้องไห้ เสียใจ ทันใดนั้น มีเสียงประตูเคาะขึ้นที่ห้องของเธอ เธอรีบปิดเครื่องวีซีดี และซับน้ำตา รีบไปเปิดประตู ปรากฏว่าเป็นแฟนของเธอเอง แฟนเธอยิ้ม แต่เธอโมโหจึงตบหน้าเค้าอย่างแรง และปิดประตูโดยที่ฝ่ายชาย งง ๆ เธอนอนร้องไห้ ถึงอนาคตที่จะต้องเกิดเช่นในวีซีดีนั้น หลังจากนั้น เธอพยายามหนีหน้าชายคนรักของเธอ โดยที่ผู้ชายก็ตามง้อยกใหญ่โดยผู้ชาย ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร เธอพยายามหาทางเลิกกับผู้ชาย จนสำเร็จ จนวันหนึ่ง ได้มีเสียงเคาะ ประตู เธอเปิดประตู แต่ทันใดนั้น คนที่เคาะประตูก็หันหลังจนลับตาไปเสียแล้ว เธอจำได้ดีถึงแผ่นหลังของ อดีตชายที่ตัวเองรัก เธอมองลงพื้น พบซีดีอีกแผ่นหนึ่งของที่นางฟ้าได้ให้ผู้ชาย..... เธอนำซีดีแผ่นนี้ไปเปิดอีกครั้ง พบภาพ ที่เหมือนกันคือ ภาพที่ทั้งคู่แต่งงานกันอย่างมีความสุขแต่ภาพหลังจากแต่งงานคือ ภาพที่เธอมีชู้กับผู้ชายคนใหม่ โดยมีแฟนของเธอร้องไห้อยู่ข้างๆ ........ เธอน้ำตาไหลและปิดวีดิโออย่างช้าๆ ..... เธอค่อยๆเปิดจดหมาย ที่แนบมากับซีดีนี้อ่าน ข้อความเขียนว่า "ผมไม่กลัวอนาคตเรามั่นใจในกันและกัน ขอบคุณแม้ผมจะเชื่อใน คุณฝ่ายเดียวก็ตาม ลาก่อน"............... คำว่าเชื่อใจเท่านั้น ที่ทำให้ คนทั้ง 2 คน คบกันอย่างมีความสุข ...........................แล้วคุณละเชื่อใจคนรักของคุณมากแค่ไหน ?..............

สื่อการสอน


1.สื่อการสอน

1.1 ความหมายของสื่อการสอนนักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คำจำกัดความของ “สื่อการสอน” ไว้อย่างหลากหลาย เช่น
- ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนักเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ แผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน
-บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จำพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียนจนเกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งนี้รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น เช่น การศึกษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์และการสำรวจ เป็นต้น
เปรื่อง กุมุท กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับทำให้การสอนของครูถึงผู้เรียนและทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่ครูวางไว้ได้เป็นอย่างดี
-ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สื่อการสอนว่า วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอนเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อความหมายที่ผู้สอนประสงค์จะส่ง หรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ ยังมีคำอื่น ๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกับสื่อการสอน เป็นต้นว่าสื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่จะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร้าความสนใจผู้เรียนรู้ให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจดีขึ้น อย่างรวดเร็วสื่อการศึกษา คือ ระบบการนำวัสดุ และวิธีการมาเป็นตัวกลางในการให้การศึกษาความรู้แก่ผู้เรียนโดยทั่วไปโสตทัศนูปกรณ์ หมายถึง วัสดุทั้งหลายที่นำมาใช้ในห้องเรียน หรือนำมาประกอบการสอนใด ๆ ก็ตาม เพื่อช่วยให้การเขียน การพูด การอภิปรายนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นความสำคัญของสื่อการสอน
-ไชยยศ เรืองสุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาอย่างหนึ่งในการสอนก็คือ แนวทางการตัดสินใจจัดดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้นตามจุดมุ่งหมาย ซึ่งการสอนโดยทั่วไป ครูมักมีบทบาทในการจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหาสาระ หรือทักษะและมีบทบาทในการจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนแต่ละคนด้วยว่า ผู้เรียนมีความต้องการอย่างไร ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อการเรียนการสอนจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศและแรงจูงใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้และเพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของผู้เรียนได้ตามจุดมุ่งหมาย สภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ทั้งมวลที่จัดขึ้นมาเพื่อการเรียนการสอนนั้น ก็คือ การเรียนการสอนนั่นเอง
-เอ็ดการ์ เดล ได้กล่าวสรุปถึงความสำคัญของสื่อการสอน ดังนี้1.สื่อการสอน ช่วยสร้างรากฐานที่เป็นรูปธรรมขึ้นในความคิดของผู้เรียน การฟังเพียงอย่างเดียวนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย เพื่อให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นในความคิด แต่สำหรับสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน ผู้เรียนย่อมไม่มีความสามารถจะทำได้ การใช้อุปกรณ์เข้าช่วยจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสร้างรูปธรรมขึ้นในใจได้2.สื่อการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ด้วยตา หู และการเคลื่อนไหวจับต้องได้แทนการฟังหรือดูเพียงอย่างเดียว3.เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยความทรงจำอย่างถาวร ผู้เรียนจะสามารถนำประสบการณ์เดิมไปสัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ เมื่อมีพื้นฐานประสบการณ์เดิมที่ดีอยู่แล้ว4.ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความคิด ซึ่งต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทำให้เห็นความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เวลา สถานที่ วัฏจักรของสิ่งมีชีวิต5.ช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านและเสริมสร้างความเข้าใจในความหมายของคำใหม่ ๆ ให้มากขึ้น ผู้เรียนที่อ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้ เพราะได้ยินเสียงและได้เห็นภาพประกอบกัน
-เปรื่อง กุมุท ให้ความสำคัญของสื่อการสอน ดังนี้1.ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผู้เรียน2.ช่วยให้นักเรียนรู้ได้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้จำนวนหนึ่ง3.ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน4.ช่วยให้ผู้เรียนจำ ประทับความรู้สึก และทำอะไรเป็นเร็วขึ้นและดีขึ้น5.ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน6.ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำบากโดยการช่วยแก้ปัญหา หรือข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ดังนี้· ทำสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น· ทำนามธรรมให้มีรูปธรรมขึ้น· ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง· ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อยขนาดลง· ทำสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น· นำอดีตมาศึกษาได้· นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้7.ช่วยให้นักเรียนเรียนสำเร็จง่ายขึ้นและสอบได้มากขึ้นเมื่อทราบความสำคัญของสื่อการสอนดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ ประเภท หรือชนิดของสื่อการสอน ดังจะกล่าวต่อไปดังนี้http://www.nitessatun.com/modules.php?

1.2 ประเภทของสื่อการสอน
-เอ็ดการ์ เดล จำแนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลำดับจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมไปสู่ประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม โดยยึดหลักว่า คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ดีและเร็วกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งเรียกว่า "กรวยแห่งประสบการณ์" (Cone of Experiences) ซึ่งมีทั้งหมด 10 ขั้นดังแผนภาพต่อไปนี้
-โรเบิร์ต อี. ดี. ดีฟเฟอร์ แบ่งประเภทของสื่อการสอน ดังนี้1.วัสดุที่ไม่ต้องฉาย ได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ กราฟ ของจริง ของตัวอย่าง หุ่นจำลอง แผนที่ กระดาษสาธิต ลูกโลก กระดานชอล์ค กระดานนิเทศ กระดานแม่เหล็ก การแสดงบทบาท นิทรรศการ การสาธิต และการทดลองเป็นต้น2.วัสดุฉายและเครื่องฉาย ได้แก่ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพโปร่งใส ภาพทึบ ภาพยนตร์ และเครื่องฉายต่าง ๆ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ และฟิล์มสตริป เครื่องฉายกระจกภาพ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายภาพทึบแสง เครื่องฉายภาพจุลทัศน์ เป็นต้น3.โสตวัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ แผ่นเสียง เครื่องเล่นจานเสียง เทป เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง และวิทยุ เป็นต้น
-ศาสตราจารย์สำเภา วรางกูร ได้แบ่งประเภทและชนิดของสื่อการสอน ดังนี้
ก.ประเภทวัสดุโสตทัศน์ (Audio-Visual Materials)

1.ประเภทภาพประกอบการสอน(Picture Instructional Materials) I. ภาพที่ไม่ต้องฉาย (Unprojected Pictures) i. ภาพเขียน (Drawing) ii. ภาพแขวนผนัง (Wall Pictures) iii. ภาพตัด (CutoutPictures) iv. สมุดภาพ (Pictorial Books, Scrapt Books) v. ภาพถ่าย (Photographs) II.ภาพที่ต้องฉาย (Project Pictures) i. สไลด์ (Slides) ii. ฟิล์มสตริป (Filmstrips) iii. ภาพทึบ (Opaque Projected Pictures) iv. ภาพโปร่งแสง (Transparencies) v. ภาพยนตร์ 16 มม., 8 มม., (Motion Pictures) vi. ภาพยนตร์ (Video Tape)

2.ประเภทวัสดุอุปกรณ์ลายเส้น (Graphic Instructional Materials) I. แผนภูมิ (Charts) II. กราฟ (Graphs) III. แผนภาพ (Diagrams) IV. โปสเตอร์ (Posters) V. การ์ตูน (Cartoons, Comic strips) VI. รูปสเก็ช (Sketches) VII. แผนที่ (Maps) VIII. ลูกโลก (Globe)
3.ประเภทกระดานและแผ่นป้ายแสดง (Instructional Boards and Displays) I. กระดานดำหรือกระดานชอล์ก (Blackboard,Chalk Board) II. กระดานผ้าสำลี (Flannel Boards) III. กระดานนิเทศ (Bulletin Boards) IV. กระดานแม่เหล็ก (Magnetic Boards) V. กระดานไฟฟ้า (Electric Boards)

4.ประเภทวัสดุสามมิติ (Three-Dimensional Materials) มี I. หุ่นจำลอง (Models) II. ของตัวอย่าง (Specimens) III. ของจริง (Objects) IV. ของล้อแบบ (Mock-Ups) V. นิทรรศการ (Exhibits) VI. ไดออรามา (Diorama) VII. กระบะทราย (Sand Tables)

5.ประเภทโสตวัสดุ (Auditory Instructional Materials)
I. แผ่นเสียง (Disc Recorded Materials) II. เทปบันทึกเสียง (Tape Recorded Materials) III. รายการวิทยุ (Radio Program)

6.ประเภทกิจกรรมและการละเล่น (Instructional Activities and Plays) I. การทัศนาจรศึกษา (Field Trip) II. การสาธิต (Demonstrations) III. การทดลอง (Experiments) IV. การแสดงแบบละคร (Drama) V. การแสดงบทบาท (Role Playing) VI. การแสดงหุ่น (Pupetry)
ข. ประเภทเครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ (Audio-Visual Equipments) 1.เครื่องฉายภาพยนตร์ 16 มม. , 8 มม. 2.เครื่องฉายสไลด์และฟิล์มสตริป (Slide and Filmstrip Projector) 3.เครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque Projectors) 4.เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) 5.เครื่องฉายกระจกภาพ (3 1/4 "x 4" หรือ Lantern Slide Projector) 6.เครื่องฉายภาพจุลทัศน์ (Micro-Projector) 7.เครื่องเล่นจานเสียง (Record Plays) 8.เครื่องเทปบันทึกภาพ (Video Recorder) 9.เครื่องรับโทรทัศน์ (Television Receiver) 10.จอฉายภาพ (Screen) 11.เครื่องรับวิทยุ(Radio Receive) 12.เครื่องขยายเสียง(Amplifier)13.อุปกรณ์เทคโนโลยีแบบใหม่ต่างๆ (Modern Instructional Technology Devices) เช่น โทรทัศนศึกษา ห้องปฏิบัติการภาษา โปรแกรมเรียน (Programmed Learning) และอื่นๆ
http://gotoknow.org/blog/Ok17081984/52408

การออกแบบสื่อ


1.3 การออกแบบสื่อ
องค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนการสอนคือสิ่งที่ครูมักนำไปประกอบการเรียนการสอนนั่นก็คือ สื่อการสอนนั่นเอง สื่อการสอนนับว่ามีประโยชน์มากเพราะสื่อการสอนเปรียบเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจในเนื้อหาและได้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นมากกว่าที่ครูผู้สอนจะสอนโดยการมาบรรยายหรือสอนตามเนื้อหา โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยสอนเลย
สื่อการสอน คือ การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการมาประกอบในการถ่ายทอดความรู้และเนื้อหาไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในสิ่งที่ครูได้ถ่ายทอด รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงตามเนื้อหา นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วยประหยัดเวลาหลักการออกแบบสื่อวัสดุกราฟิก
ก่อนที่จะทำงานออกแบบกราฟิกประเภทใดก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ การกำหนดจุดประสงค์ที่ชัดเจนของงาน เพราะช่องทาง รูปแบบและวิธีการ ของการนำเสนอมีมาก มีความรวดเร็ว ไร้ขอบเขต เช่นใน เว็ปไซต์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่างๆ ซึ่งต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ทันเหตุการณ์ อาจจะทำให้เกิดความสับสน ยุ่งยากในการดำเนินงาน มีผลกระทบต่อการทำงาน เกิดความไม่เป็นระบบ มีการสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น ดังนั้นผู้ออกแบบจึงควรมีหลักการและข้อควรคำนึงก่อนการเริ่มงานเพื่อการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง รัดกุมและวางแผนการดำเนินงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีตลอดจนจบกระบวนการ ไม่มีปัญหาและอุปสรรค
หลักการดำเนินงานออกแบบกราฟิกหลักการดำเนินงานและการวางแผน
ขั้นต้นของการออกแบบกราฟฟิกมีดังนี้วัตถุประสงค์เพื่ออะไร ผู้ออกแบบต้องรู้ว่า จะบอกกล่าว เรื่องราวข่าวสารอะไรแก่ผู้รับรู้บ้าง เช่น ทฤษฎีหรือหลักการ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ผู้ออกแบบต้องรู้วิธีการนำเสนอ (Presentation) ที่ดีและเหมาะสมกับเรื่องราวเหล่านั้นว่ามีเป้าหมายของการออกแบบเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อแนะนำ เผยแพร่ เพื่อให้ความรู้ หรือความบันเทิงเป็นต้นกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร แบ่งเป็นเพศ ชาย หญิง ่หรือบุคคลทั่วไป มีช่วงอายุเท่าใด นิสิตนักศึกษาหรือเฉพาะกลุ่มสนใจ ข่าวสารที่ให้มีระดับความยาก-ง่าย หรือมีความเป็นสากลหรือไม่ เฉพาะคนในประเทศหรือชาวต่างชาติ ซึ่งผู้ออกแบบจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจเพื่อวางแผน ดำเนินการกับข่าวสาร ออกแบบ และการนำเสนอให้ตรงจุดกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ถูกต้องสิ่งที่ต้องการบอกคืออะไร หมายถึง วิธีการที่จะสื่อความหมายกับผู้รับรู้หรือกลุ่มเป้าหมาย และถ้าที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ล่วงหน้า ชัดเจนแล้วก็จะทำให้ผู้ออกแบบมีความสะดวกในการที่จะบอกหรือสื่อความหมายได้ง่ายขึ้น เช่น การเลือกใช้สัญลักษณ์ เครื่องหมาย และภาพประกอบต่าง ๆสื่อแทนคำศัพท์ ข้อความที่เป็นนามธรรม ได้ตรงตามระดับความสามารถในการรับรู้ของผู้รับ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในความหมายของข่าวสารนั้น ๆ จำได้ในเวลาอันรวดเร็วและจดจำไว้ตลอดไป
นำเสนอข่าวสารด้วยสื่อใด แบบใด ผู้ออกแบบต้องมีความรู้เกี่ยวกับประเภทของสื่อ ศักยภาพของสื่อชนิดต่างๆ คำนึงถึงการเลือกใช้สื่อในการนำเสนอข่าวสารเป็นรูปแบบใด จึงจะได้ผลดีมีความเหมาะสมกับข่าวสาร และผู้ออกแบบควรจะใช้วิธีการจัดการกับข่าวสารนั้น อย่างไร จึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจและสื่อความหมายต่อผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯการออกแบบกราฟิก ส่วนใหญ่เป็นวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกถึงการสื่อความหมายในลักษณะของตัวอักษรและภาพในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสื่อสารทางทัศนสัญลักษณ์ (Visual form) ดังนั้นในการออกแบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยว การมองเห็นและจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันวัสดุและเครื่องมือในงานกราฟิก มีการพัฒนาและปรับใช้กับคอมพิวเตอร์มากขึ้น และคอมพิวเตอร์ในหลายโปรแกรม โดยเฉพาะโปรแกรมด้านกราฟิก ก็จะมีแถบเครื่องมือมาให้เลือกใช้ เหมือนกับวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ต้องทำด้วยมือ เช่น มีดินสอ ปากกา พู่กัน สีสเปรย์เหมือนปากกาลม เปลี่ยนขนาดความโตได้หลายขนาด มีถังเทสี เป็นต้น
http://www.edu.nu.ac.th/wbi/355201/graphic_material/graphic_mate
เขียนโดย ละมัย จันทร ที่
12:41 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

1.4 การใช้สื่อการเรียนการสอน หลักในการใช้สื่อในการพิจารณาเลือกใช้สื่อการสอนแต่ละครั้งครูควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสื่อการสอนแต่ละชนิด ดังนี้
1. ความเหมาะสม สื่อที่จะใช้นั้นเหมาะสมกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสอนหรือไม่
2. ความถูกต้อง สื่อที่จะใช้ช่วยให้นักเรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องหรือไม่
3. ความเข้าใจ สื่อที่จะใช้นั้นควรช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและให้ข้อมูลที่ถุกต้องแก่นักเรียน
4. ประสบการณ์ที่ได้รับ สื่อที่ใช้นั้นช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่นักเรียน
5. เหมาะสมกับวัย ระดับความยากง่ายของเนื้อหาที่บรรจุอยู่ในสื่อชนิดนั้น ๆ เหมาะสมกับระดับความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของนักเรียนหรือไม่
6. เที่ยงตรงในเนื้อหา สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาที่ถูกต้องหรือไม่
7. ใช้การได้ดี สื่อที่นำมาใช้ควรทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้ดี
8. คุ้มค่ากับราคา ผลที่ได้จะคุ้มค่ากับเวลา เงิน และการจัดเตรียมสื่อนั้นหรือไม่
9. ตรงกับความต้องการ สื่อนั้นช่วยให้นักเรียนร่วมกิจกรรมตามที่ครูต้องการหรือไม่
10. ช่วยเวลาความสนใจ สื่อนั้นช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในช่วงเวลานานพอสมควรหรือไม่
ประโยชน์ของสื่อ
1. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้จากวัตถุที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้สร้างแนวความคิดด้วยตนเอง

2. กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในเรื่องที่จะเรียนมากขึ้น
3. ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้งายขึ้นและสามารถจดจำได้นาน
4. ให้ประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง
5. นำประสบการณ์นอกห้องเรียนมาให้นักเรียนศึกษาในห้องเรียนได้แม้ว่าสื่อการสอนจะมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อการเรียนการสอน แต่ถ้าครูผู้สอนผลิตสื่อหรือนำสื่อไปใช้ไม่ตรงตามจุดประสงค์และเนื้อหา ก็อาจทำให้สื่อนั้นไม่มีประสิทธิภาพและยังทำให้การสอนนั้นไม่ได้ผลเต็มที่ ดังนั้นครูควรมีความรู้ความเข้าใจในการออกแบบสื่อและการผลิตสื่อด้วย เพื่อให้สื่อนั้นมีทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอนการออกแบบสื่อการสอน คือ การวางแผนสร้างสรรค์สื่อการสอนหรือการปรับปรุงสื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพและมีสภาพที่ดี โดยอาศัยหลักการทางศิลปะ รู้จักเลือกสื่อและวิธีการทำ เพื่อให้สื่อนั้นมีความสวยงาม มีประโยชน์และมีความเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน
องค์ประกอบของการออกแบบ
1. จุด ( Dots )

2. เส้น ( Line )
3. รูปร่าง รูปทรง ( Shape- Form )
4. ปริมาตร ( Volume )
5. ลักษณะพื้นผิว ( Texture )
6.บริเวณว่าง ( Space )7. สี ( Color )
7. น้ำหนักสื่อ ( Value )การเลือกสื่อ การดัดแปลง และการออกแบบสื่อ (Select , Modify , or Design Materials )
การเลือกสื่อที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาตามหลัก 3 ประการ คือ
1. การเลือกสื่อที่มีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษามักจะมีทรัพยากรที่สามารถใช้เป็นสื่อได้อยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ผู้สอนต้องกระทำก็คือ ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดที่จะใช้เป็นสื่อได้บ้าง โดยเลือกให้ตรงกับลักษณะผู้เรียนและวัตถุประสงค์

2. การดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว ให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับเวลาและงบประมาณในการดัดแปลงสื่อด้วย
3. การออกแบบผลิตสื่อใหม่ ถ้าสื่อนั้นมีอยู่แล้วและตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอน เราก็สามารถนำมาใช้ได้เลยแต่ถ้ามีอยู่โดยไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายเราก็ใช้วิธีดัดแปลงได้ แต่ถ้าไม่มีสื่อตามที่ต้องการก็ต้องผลิตสื่อใหม่
การออกแบบผลิตสื่อใหม่ ควรคำนึงถึง
1. จุดมุ่งหมาย ต้องพิจารณาว่าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนอะไร

2. ผู้เรียน ควรได้พิจารณาผู้เรียนทั้งโดยรวมว่าเป็นใคร มีความรู้พื้นฐานและทักษะอะไรมาก่อน
3. ค่าใช้จ่าย มีงบประมาณเพียงพอหรือไม่
4. ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค ถ้าตนเองไม่มีทักษะจะหาผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาจากแหล่งใด
5. เครื่องมืออุปกรณ์ มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นพอเพียงต่อการผลิตหรือไม่
6. สิ่งอำนวยความสะดวก มีอยู่แล้วหรือสามารถจะจัดหาอย่างไร
7. เวลา มีเวลาพอสำหรับการออกแบบหรือไม่
http://www.lpru.ac.th/webpage_tec/webpageDuangchan/travel/knoekedg/page5.htm
การใช้สื่อการสอนนับว่ามีความสำคัญต่อการเรียนการสอนอย่างยิ่งทั้งนี้เพราะถ้าใช้สื่อการสอนไม่ถูกต้องย่อมจะได้ผลน้อยหรือมีค่าเท่ากับไม่ได้ใช้เลยหากเป็นดังนี้ย่อมไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ฉะนั้นการใช้สื่อการสอนแต่ละครั้งจึงควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน และวางแผนการใช้อย่างรอบครอบการใช้สื่อการสอนในห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ควรปฏิบัติตามหลักการดังนี้ คือ
1. หลักการเลือก ( Selection)
2. หลักการเตรียม ( Preparation)
3. หลักการนำเสนอ ( Presentation )
4. หลักการประเมินผล ( Evaluation )
มีนักวิชาการและนักเทคโนโลยีการศึกษา ทั้ง ต่างประเทศและในประเทศ ได้ให้หลักการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) หลักการเลือก (Selection)
โนเอล และลีโอนาร์ด (Noel and Leonard. 1962 :26–28 ) ให้หลักการเลือกสื่อการสอนไว้ ดังนี้

1. มีความเหมาะสมกับระดับสติปัญญาของผู้เรียน
2. เหมาะสมกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
3. เหมาะสมกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
4. เหมาะสมกับเรื่องที่สอน
5. มีลักษณะที่น่าสนใจ
6. ตรงกับจุดประสงค์ในการสอน
7. ไม่เสียเวลาในการใช้มากเกินไป8. เป็นแบบง่าย ๆ และไม่ซับซ้อนจนเกินไป9. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น10. ช่วยให้การเสริมสร้างเจตคติที่ดีแก่ผู้เรียน11. ช่วยเพิ่มทักษะให้แก่ผู้เรียน12. ให้ผลดีต่อการเรียนการสอนมากที่สุด13. ราคาไม่แพงจนเกินไป
เดล (Dale. 1969 : 175 – 179 ) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการเลือกสื่อการสอน ไว้ดังนี้

1. สื่อการสอนนั้นจะสามารถให้แนวคิดที่ถูกต้องได้เพียงใด
2. สื่อการสอนนั้นจะสามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่เรียนได้ดี เพียงใด
3. สื่อการสอนนั้น ๆ เหมาะสมกับวัย สติปัญญา และประสบการณ์ต่าง ๆของผู้เรียนเพียงใด
4. สภาพแวดล้อมเหมาะที่จะใช้สื่อการสอนนั้น ๆ หรือไม่
5. มีข้อเสนอแนะสั้น ๆ ในการใช้สื่อการสอนนั้นสำหรับครูหรือไม่
6. สื่อการสอนนั้นสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาทางด้านความคิดได้หรือไม่
อีริคสัน (Erickson. 1971 : 97– 99) แนะนำว่าครูควรเลือกสื่อการสอนโดยพิจารณาจากคำถามต่อไปนี้

1.สื่อการสอนนั้นเป็นประโยชน์ต่อหน่วยการสอน และเป็นกิจกรรมในการแก้ปัญหาประสบการณ์เฉพาะหรือไม่
2.เนื้อหาที่ต้องใช้สื่อการสอนในการสื่อความหมายนั้นเป็นประโยชน์และสำคัญต่อผู้เรียน ชุมชน และสังคมหรือไม่
3.สื่อการสอนนั้นเหมาะกับจุดประสงค์การสอนหรือเป้าหมายของผู้เรียนหรือไม่
4.มีการตรวจสอบระดับความยากของจุดประสงค์การสอนเกี่ยวกับความเข้าใจความสามารถ เจตคติ และความนิยม
5.สื่อการสอนนั้นให้ความสำคัญต่อประสบการณ์จากการคิด การโต้ตอบ การอภิปรายและการศึกษา
6.เนื้อหาที่สอนในรูปของปัญหา และกิจกรรมของผู้เรียนหรือไม่
7.สื่อการสอนนั้นให้แนวคิดที่มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
8.สื่อการสอนนั้นให้เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับขนาด อุณหภูมิ น้ำหนัก ระยะทางการกระทำ กลิ่น เสียง สี ความมีชีวิตชีวา อารมณ์หรือไม่
9.สื่อการสอนนั้นให้ความแน่นอนและทันสมัยหรือไม่
10.สื่อการสอนนั้นปรับให้เข้ากับจุดประสงค์ที่พึงปรารถนาได้หรือไม่
11.สื่อการสอนนั้นมีรสนิยมดีหรือไม่
12.สื่อการสอนนั้นใช้ในห้องเรียนธรรมดาได้หรือไม่
13.เนื้อหาความรู้ของสื่อการสอนมีตัวอย่างให้มากหรือไม่
ลัดดา ศุขปรีดี (2523 : 61-62) ได้ให้หลักเกณฑ์ในการเลือกสื่อการสอนและประสบการณ์ในการเรียนการสอนไว้ดังนี้

1.เลือกสื่อและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการสอน
2.เลือกสื่อและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับลักษณะการตอบสนองและพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้เรียนที่คาดหวังจะให้เกิดขึ้น
3.เลือกสื่อและประสบการณ์ในการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์เดิมของแต่ละคน
4.เลือกสื่อและอุปกรณ์พิเศษที่จะหาได้การเลือกสื่อจะต้องคำนึงถึงความสะดวกในการนำสื่อการสอนนั้นมาใช้และไม่จำเป็นต้องใช้สื่อการสอนที่มีราคาแพงเสมอไป
วาสนา ชาวหา (2522 : 64) ได้เสนอแนวคิดในการเลือกใช้สื่อการสอไว้ดังนี้

1. ให้ความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
2. เหมาะสมกับวัย กิจกรรมหรือประสบการณ์ที่จัดขึ้นเพื่อการเรียนการสอน
3. เหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน
4. คำนึงความประหยัดและให้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนทั้งในด้านเงินทุนและเวลาที่เสียไป
5. ใช้ได้สะดวกและปลอดภัย
ลัดดา ศุขปรีดี (2523 : 61-62) ได้ให้หลักเกณฑ์ในการเลือกสื่อการสอนและประสบการณ์ในการเรียนการสอนไว้ดังนี้

1.เลือกสื่อและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการสอน
2.เลือกสื่อและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับลักษณะการตอบสนองและพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้เรียนที่คาดหวังจะให้เกิดขึ้น
3.เลือกสื่อและประสบการณ์ในการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสบการณ์เดิมของแต่ละคน
4.เลือกสื่อและอุปกรณ์พิเศษที่จะหาได้การเลือกสื่อจะต้องคำนึงถึงความสะดวกในการนำสื่อการสอนนั้นมาใช้และไม่จำเป็นต้องใช้สื่อการสอนที่มีราคาแพงเสมอไป
ไชยยศ เรืองสุวรรณ(2526:157)กล่าวว่าการเลือกสื่อการสอนเพื่อนำมาเกื้อหนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพราะหากครูเลือกสื่อที่ไม่เหมาะสมเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนแล้ว การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นอาจไม่บรรลุสำเร็จตามจุดมุ่งหมายควรเลือกสื่อการสอนโดยยึดหลัก ดังนี้

1. สื่อต้องสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายและเรื่องที่จะสอน
2. สื่อที่ต้องเหมาะสมกับความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน
3. เหมาะสมกับวัยและระดับของผู้เรียน
4. เนื้อหาและวิธีใช้ไม่ยุ่งยากและซับซ้อนจนเกินไป
5. น่าสนใจและทันสมัย
6. เนื้อหามีความถูกต้อง
7. เทคนิคการผลิตดี เช่น ขนาด สี เสียง ภาพ ความจริง เป็นต้น
8. เป็นสื่อที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน
9. สามารถนำเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดี
10.ถ้ามีสื่อการสอนหลายอย่างในเรื่องเดียวกันให้กำหนดว่าสื่อใดเหมาะสมที่สุดที่จะให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เรียนได้ดีที่สุด ในเวลาอันสั้น
สุนันท์ สังข์อ่อง(2526:16–18)ได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้สื่อการสอนให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพครูอาจพิจารณาโดยใช้คำถามต่อไปนี้เป็นแนวทางสื่อที่จะนำมาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เนื้อหาตามหลักสูตรหรือไม่

1. สื่อชนิดนั้นเหมาะสมกับวัยหรือระดับชั้นของผู้เรียนหรือไม่
2. สื่อชนิดนั้นให้เนื้อหาความรู้ที่ทันเหตุการณ์และเวลาในขณะนั้นหรือไม่มีความถูกต้องน่าเชื่อถือในเนื้อหาที่เสนอให้แก่ผู้เรียนมากน้อยเพียงใด
3. สื่อชนิดนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน คิดและสืบเสาะหาความรู้ได้มากกว่าที่จะไม่ใช้สื่อการสอนหรือไม่
4. สื่อชนิดนั้นช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่มใหญ่หรือรายบุคคลหรือไม่
5. ระยะเวลาในการเลือกสื่อการสอนนั้นเหมาะสมหรือไม่
6. สื่อชนิดนั้นเป็นที่น่าสนใจในด้านเทคนิคการผลิตหรือไม่ เช่น ลักษณะการจัดภาพเสียง ขนาด รูปแบบของการเสนอ เป็นต้น
7. คุ้มกับเวลาการลงทุนหรือไม่ ถ้าจำแนกสื่อนั้นมาใช้
8. สื่อชนิดนั้นเป็นที่ดึงดูดใจและน่าสนใจหรือไม่
9. สื่อนั้นช่วยเสนอแนะกิจกรรมอื่น ๆ ที่ผู้เรียนอาจปฏิบัติเพิ่มเติมได้หรือไม่
หลักการเตรียม (Preparation)
อีริคสันและเคิร์ล(EricksonandCurl.1972:163–170)ได้กล่าวถึงการเตรียมก่อนการใช้สื่อการสอนต้องเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนก่อนดังนี้

1. พัฒนาการสร้างความพร้อมเฉพาะอย่าง เช่น จะให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน ตอนไหน อย่างไร
2. แนะนำผู้เรียนเพื่อเป็นการเร้าให้เกิดการเรียนรู้จากสื่อที่ครูเลือกมา
3. สร้างกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสื่อการสอน
4. เลือกหาวิธีที่เหมาะสม ที่จะนำไปสู่การใช้สื่อการสอนนั้น ๆ
5. ใช้แหล่งการเรียนอื่น ๆ เพื่อสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนนอกจากนั้นยังต้องเตรียมและควบคุมเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกและจัดสถานการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนการใช้สื่อการสอนนั้นคุ้มค่ากับเวลา และทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ และมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนครูควรมีความสามารถและทักษะพื้นฐานดังนี้
1. สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีทางการศึกษาได้
2. สามารถป้องกันและแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องมือต่าง ๆ ได้
3. สามารถจัดสภาพห้องเรียนได้ดี ถ้าเป็นการฉายก็สามารถจัดสภาพฉายได้ดี
4. สามารถติดตั้งเครื่องมือต่าง ๆ ได้
5. ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม สะดวกต่อการใช้และการติดตามและเปิดโอกาสผู้เรียนได้เข้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี
6. สามารถวางแผนกำหนดช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสม
บราวน์ และคณะ (Brown and others. 1983 : 69–70) ได้กล่าวถึงการเตรียมก่อนการใช้สื่อการสอนดังนี้

1. การเตรียมตัวครู หมายถึง การทดลองใช้สื่อต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปใช้จริงในการเรียนการสอน
2. การเตรียมสภาพแวดล้อม ได้แก่ การเตรียมวัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ทันที และติดตั้งวัสดุและเครื่องมือได้อย่างเหมาะสม
3. เตรียมชั้นเรียน เป็นการเตรียมผู้เรียนโดยชี้แนะหรือแนะนำผู้เรียนว่า จะเรียนรู้อะไรบ้างจากสื่อ และจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อจะใช้สื่อ
สันทัด ภิบาลสุข และพิมพ์ใจ ภิบาลสุข (2526 : 4–48) ได้กล่าวถึง การเตรียมก่อนการใช้สื่อการสอนว่า ควรเตรียมผู้สอน ผู้เรียน และชั้นเรียน ดังนี้

ก. การเตรียมตัวของผู้สอน

1. พิจารณาคุณค่า และจุดมุ่งหมายของบทเรียนที่จะสอน
2. พิจารณาความสนใจและความต้องการของผู้เรียน
3. พิจารณาถึงสิ่งที่จะเป็นปัญหาในการสอน
4. การเตรียมแผนการสอน
5.จัดหาหรือผลิตสื่อการสอน ซึ่งจะแก้ปัญหาของการเรียนในชั้นเรียนที่ได้พิจารณาเลือกไว้
6. พิจารณาถึงวิธีที่จะใช้สื่อการสอนนั้นให้ได้ผลดีที่สุด
7. เตรียมและทดลองใช้สื่อการสอนก่อนการใช้จริงในห้องเรียน
8.เตรียมอุปกรณ์ หรือสื่อการสอนที่เหมาะสม เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้เรียน เช่นคำบรรยายประกอบการสอน
9. ถ้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วยในการฉายหรือบริการอื่น ๆ ควรจะได้มีการซักซ้อมความเข้าใจกันเสียก่อน
10.จัดเรียงลำดับสื่อการสอนที่จะใช้ไว้ตามลำดับก่อนหลังที่ต้องการแล้ววางไว้ในที่เหมาะสม
ข. การเตรียมผู้เรียน
1.อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าจะใช้สื่ออะไร สอนอะไร เพื่ออะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร

2.อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าจะต้องมีส่วนร่วมในระหว่างการใช้สื่อการสอนอย่างไรบ้างเช่นคอยสังเกตหรือฟังตรงที่สำคัญการหาคำตอบหรือคำศัพท์ใหม่ซึ่งผู้สอนบอกหรือเขียนเอาไว้ล่วงหน้า
3.อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจว่ากิจกรรมที่ต้องปฏิบัติหลังจากการใช้สื่อการสอนแล้วมีอะไรบ้าง
ค. เตรียมชั้นเรียน
1. เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะต้องใช้ร่วมกับสื่อการสอนที่เลือกไว้ เช่น สายไฟ หม้อแปลง แผงติดภาพ ฯลฯ
2. ตรวจสภาพของห้องที่ใช้สื่อการสอนล่วงหน้า การจัดที่นั่ง การตั้งจอและเครื่องฉายที่จ่ายกระแสไฟฟ้า ระยะทางผู้ดูกับจอ การควบคุมแสงสว่างในห้อง ฯลฯ
3. เตรียมเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น เครื่องฉาย เครื่องบันทึกเสียง โต๊ะจอฉาย ปลั๊กไฟ และหลอดสำรองสำหรับเครื่องฉาย
4. จัดบรรยากาศของห้องให้สะดวกสบาย เช่น การถ่ายเทอากาศ การควบคุมอุณหภูมิ การควบคุมแสงสว่าง และอื่น ๆ
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526 : 158–160 ) กล่าวว่าการเตรียมเป็นตอนที่สำคัญขั้นหนึ่งในการใช้สื่อการสอน การเตรียมเป็นการสร้างความพร้อมไม่ว่าจะเป็นตัวครู ผู้เรียนและสื่อการเรียนการสอน ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ดังนั้น ครูควรมีความรู้ ความสามารถและทักษะ ในเรื่องต่อไปนี้

1. ความรู้ความสามารถและทักษะในด้านเทคโนโลยีทางการสอน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ
1.1 มีทักษะในการเลือกสื่อที่จำเป็นมาใช้ในการเรียนการสอน
1.2 มีทักษะในการตัดสินใจว่า บทเรียนใดควรใช้สื่ออะไร
1.3 มีทักษะในการใช้สื่อการเรียนการสอน
1.4 สามารถผลิตสื่อการสอนอย่างง่ายได้ เช่น การผนึกภาพ แผนภูมิ ฯลฯ2.ความรู้ความสามารถและทักษะในการเตรียมสื่อการสอนในห้องเรียนสามารถประยุกต์วิธีระบบ (Systematic Approach) เข้ามาในการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
2.1 เตรียมการสอน กำหนดชนิดและเวลาการใช้สื่อการเรียนการสอน
2.2 จัดหาสื่อไว้ล่วงหน้า
2.3 ทดลองใช้ เช่น ลองฟัง ลองฉายดูก่อนที่จะใช้จริง
2.4 ศึกษารายละเอียดจากคู่มือของสื่อการสอน ( ถ้ามี )
2.5จัดเตรียมสื่อการสอนอื่นๆและวัสดุจำเป็นต้องใช้ร่วมกับสื่อการสอนนั้นๆการเตรียมผู้เรียน เป็นการสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนก่อนที่จะลงมือใช้สื่อการสอน ควรปฏิบัติดังนี้
1. การใช้สื่อการเรียนการสอนบางอย่าง ครูและนักเรียนควรได้กำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนร่วมกัน
2.ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียนจากสื่อการสอนเช่นการยั่วยุให้ผู้เรียนสนใจในสื่อที่นำมาใช้ประกอบการสอนพยายามสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่ให้เข้ากับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน และให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะของสื่อการสอนที่จะใช้
3. เตรียมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมการเรียนให้มากที่สุด การเตรียมสื่อการสอนควรปฏิบัติดังนี้
3.1 ตรวจสอบสื่อการสอนว่า ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนหรือไม่โดยการทดลองใช้ก่อน
3.2 จัดลำดับสื่อการสอนให้เหมาะสมและถูกต้อง
3.3 จับเวลาการทดลองใช้สื่อ เพื่อประมาณเวลาในการใช้จริงได้ถูกต้อง
3.4 ควรตรวจสอบและเตรียมเครื่องมือให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ทันที
3.5 จดบันทึกหัวข้อสำคัญจากสื่อ เพื่อจะได้อธิบายเพิ่มเติมให้ผู้เรียนเข้าใจยิ่งขึ้น
3.6เตรียมอุปกรณ์และวัสดุที่จำเป็นจะต้องใช้ร่วมกับการใช้สื่อนั้นให้พร้อมเช่นขาตั้งแผนภูมิไม้ชี้สายไฟฟ้าหลอดอะไหล่ฯลฯ
การเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยเฉพาะการเตรียมห้องเรียนหรือห้องที่จะใช้สื่อการสอน ควรปฏิบัติดังนี้
1.จัดเก้าอี้ให้เพียงพอ และให้ผู้เรียนมองเห็นและได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

2.ตรวจสอบระบบแสงสว่างและการถ่ายเทอากาศในห้องเรียนให้เหมาะสม
3.ขจัดสิ่งรบกวนภายนอกที่จะเบนความสนใจของผู้เรียนให้หันเหไปทางอื่น
4.ควรจัดให้ง่ายต่อการโยกย้ายหรือจัดรูปแบบใหม่หากจำเป็นได้หลักการนำเสนอ (Presentation)
อีริคสัน และเคริ์ล(EricksonandCurl.1972:163–170)ได้กล่าวว่าเพื่อให้การนำเสนอได้ผลครูควรมีความรู้ความสามารถและทักษะ พื้นฐานดังนี้
1. เลือกกิจกรรมการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียน อยากรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน

2. ใช้คำถามเป็นตัวกระตุ้นและชี้แนะ
3. ใช้การอภิปรายเพื่อนำไปสู่เนื้อหาและการสร้างมโนมติ
4. จัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมและสร้างกิจกรรมท้าทายในการแก้ปัญหา
5. ใช้สื่ออย่างมีลำดับ
6. จัดดำเนินการด้านการจัดสภาพการณ์ต่างๆ ในการใช้สื่อการสอนเพื่อการเรียนรู้
7. สามารถจัดกลุ่มกิจกรรมให้ผู้เรียนหาความรู้จากสื่อต่าง ๆ ได้ เช่น จัดป้ายนิเทศจัดมุมวิชาการ และการศึกษาค้นคว้ารายงานเพิ่มเติม เป็นต้น
ไฮนิกส์ โมเลนดา และรัสเซล (heinich. Molenda and Russel. 1985 : 34–35)ได้กล่าวถึงการนำเสนอสื่อการสอนไว้ดังนี้

1.ผู้สอนต้องวางตัวเป็นธรรมชาติ พยายามหลีกเลี่ยงกิริยาอาการต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสม การพูดควรพูดให้ชัดเจน เป็นต้น
2.ผู้สอนควรยืนในที่ที่ผู้เรียนมองเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดเวลาเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจมีการเคลื่อนไหวอย่างพอสมควรมีการสบตากับผู้เรียนและเว้นระยะในการพูดเมื่อจะเริ่มพูดเรื่องใหม่
3. ทำให้สภาพการเรียนไม่เกิดความเครียด ควรมีการแทรกเรื่องตลกบ้างแต่เรื่องตลกต้องไม่กระทบ กระเทือนกับผู้เรียนหรือเกิดความเสียหายกับผู้เรียน
4. เสนอสิ่งที่แปลกน่าสนใจ เช่น การสรุปที่แปลกหรือการเสนอภาพที่แปลกประทับใจ
5. พยายามควบคุมให้ผู้เรียนสนใจตลอดเวลา เช่น สบตากับผู้เรียนอย่างทั่วถึง
6.การควบคุมภาพและเสียงให้สัมพันธ์กันในกรณีใช้สื่อประเภทที่ต้องฉายเช่นสไลด์ฟิล์มสตริปภาพและเสียงควรสัมพันธ์กันทั้งชนิดที่เป็นการบันทึกเสียงไว้ก่อนหรือการบรรยายการสอน
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526 : 160–162) กล่าวว่า การนำเสนอสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนมีหลักการสำคัญเป็นแนวปฏิบัติดังนี้

1.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม เช่น การชักถาม อภิปราย การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
2. ตอบและอธิบายข้อซักถามของผู้เรียน ชี้แนะสาระสำคัญ ขั้นตอนและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะเรียนได้จากสื่อนั้นๆตลอดจนแนะนำการเรียนรู้จากสื่อ
3. พยายามสำรวจตัวครูเองอยู่เสมอในระหว่างการใช้สื่อการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นสีหน้า ท่าทาง ในขณะที่สอนดังนี้
3.1 ในขณะที่พูดหรืออภิปราย ครูควรพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรกับผู้เรียน
3.2 ใช้สายตาให้เป็นประโยชน์เพราะสายตาของครูจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจติดตามบทเรียน และเป็นการสร้างวินัยในชั้นเรียนทางอ้อม
3.3 เสียงของครูต้องดังเหมาะสม มีระดับเสียง พูดด้วยความเร็วที่พอเหมาะมีการย้ำหรือเน้นเมื่อถึงตอนสำคัญ
3.4 ท่าทางและบุคลิกของครูมีอิทธิพลต่อความเชื่อ ความมั่นใจและความประทับใจต่อผู้เรียนมาก ไม่ควรมองข้ามในเรื่องนี้
3.5 การแสดง พยายามแสดงให้มากอย่างนักแสดงที่ดี พูดให้น้อยอย่างคล่องแคล่วไม่ลุกลี้ลุกลน
3.6 ปฏิบัติตนในการสอนอย่างสม่ำเสมอ เช่น เข้าสอนตรงต่อเวลาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยความมั่นใจ ท่าทางสง่างาม
3.7 แสดงท่าทางให้ความสนใจและความสำคัญต่อผู้เรียนด้วยความจริงใจและ
4. ใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างมีขั้นตอน สอดคล้องกับจังหวะเวลาและเนื้อหาตามที่ได้เตรียมหรือวางแผนไว้http://www.nitessatun.com/modules.php?

1.5 การวัดผลของสื่อและวิธีการ
หลังจากที่เราออกแบบสื่อแล้วแล้วนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ก็ควรมีการวัดผลของสื่อ เป็นการวัดประสิทธิภาพของสื่อ ความคุ้มค่าของสื่อต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ วัดเพื่อปรับปรุงสื่อวัดผลถึงระยะเวลาที่ในการนำเสนอสื่อว่าพอเหมาะหรือมากเกินความจำเป็น การวัดผลสื่อนี้เพื่อผลในการใช้ดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต เราสามารถที่จะนำเอาผลการอภิปรายในชั้นเรียน การสัมภาษณ์ และการสังเกตผู้เรียนมาใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสื่อได้การติดตามและประเมินผลการใช้สื่อการสอน
โนเอล และ ริโอนาร์ด ได้ให้หลักเกณฑ์ในการติดตามและประเมินผลการใช้สื่อดังนี้ ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อติดตามผล ดังนี้
1. ร่วมกันอภิปรายเนื้อหาที่สำคัญ ในระหว่างการใช้โสตทัศนูปกรณ์
2. ร่วมกันทำความเข้าใจเนื้อหาที่ยังไม่เข้าใจ
3. ครูอธิบายความคิดรวบยอดให้เด็กเข้าใจได้ชัดเจน
4. ร่วมกันจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์การเรียนรู้
5. ร่วมกันวางแผนในการนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ หรือการเรียนในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
6. ผู้สอนสำรวจดูว่าการใช้สื่อการสอนได้บรรลุตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ อาจทำได้ดังนี้
· ผู้สอนวิจารณ์ผลการเรียนโดยใช้สื่อการสอน
· ผู้สอนอาจใช้แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่การทดสอบนั้นต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมาย เช่น ถ้าต้องการทราบความเข้าใจก็ต้องออกแบบทดสอบวัดความเข้าใจ
· ไม่ควรใช้แบบทดสอบความจำ และไม่ควรใช้แบบทดสอบที่มีความซับซ้อนจนเกินไป
เอ็ดการ์ เดล (Edgar Dale) ให้ผู้ใช้ประเมินผลการใช้สื่อการสอนจากคำถามที่ว่า สื่อการสอนเหล่านั้นมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่ เพียงไร
· ให้ภาพพจน์ที่แท้จริงในการสอน
· ให้เนื้อหาวิชาตรงตามจุดมุ่งหมาย
· เหมาะสมกับวัย สติปัญญา และประสบการณ์ของผู้เรียน
· สภาพรูปร่าง และลักษณะของโสตทัศนวัสดุเหล่านั้นเป็นที่พอใจ
· มีผู้ให้คำแนะนำแก่ครูในการใช้โสตทัศนวัสดุเหล่านั้นให้ได้ประโยชน์
· ช่วยในการสร้างมนุษยสัมพันธ์· ช่วยให้นักเรียนใช้ความคิดพิจารณา
· ให้ผลคุ้มค่ากับเวลา ค่าใช้จ่าย และความพยายามที่ได้ทำไปhttp://www.lpru.ac.th/webpage_tec/webpageDuangchan/travel/knoekedg/page5.htm